5 เหตุผลที่ "ผู้หญิงวางแผนตั้งครรภ์"
ต้องทานวิตามินบำรุง
🔑อาหาร 70% วิตามิน 30%
แม่ๆ รู้ไหม❓ การได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอ "ก่อนการตั้งครรภ์" เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อโอกาสในการท้องได้ง่ายขึ้นค่ะ และยังส่งผลต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่สมบูรณ์อีกด้วย
📚จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Clinical Medicine Insight Womens Health เมื่อปี 2019
ได้รวบรวมผลการศึกษา ถึงความสำคัญของ micronutrients ซึ่งได้แก่วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นที่ผู้หญิงวางแผนท้องที่ควรได้รับล่วงหน้าก่อนตั้งครรภ์
งานวิจัยศึกษาพบว่าสาเหตุของภาวะมีบุตรยากนอกจากการทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ
แล้ว #การขาดวิตามินและแร่ธาตุก็เป็นสาเหตุหลักประการหนึ่ง
เพราะวิตามินและแร่ธาตุมีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างปกติและสมบูรณ์ รวมถึงระบบสืบพันธุ์ด้วย
ซึ่งการได้รับวิตามินและแร่ธาตุแน่นอนว่าเราได้รับจากกอาหารที่ทานเข้าไป ซึ่งต้องเน้นทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และถูกหลักโภชนาการ
**อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในแต่ละวัน เพราะเรารับประทานในปริมาณน้อย และสารอาหาร หรือ วิตามินบางชนิดร่างกายสามารถดูดซึมได้น้อยในรูปแบบของอาหาร และเราไม่สามารถมั่นใจได้ว่าในอาหารแต่ละมื้อเราได้รับวิตามินที่เพียงพอตามปริมาณที่ร่างกายต้องการได้รับหรือไม่
ดังนั้น หลักในการบำรุงเตรียมตั้งครรภ์ของ
คือ ทานวิตามิน 30% ค่ะ ครูก้อยจะเน้นเรื่องโภชนาการเป็นหลัก เพราะอาหารสำคัญที่สุดค่ะ แต่ก็ไม่ขาดเรื่องวิตามินเสริมที่จะทำให้ร่างกายเราได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและจำเป็นสำหรับคนที่เตรียมตัวเป็นคุณแม่ค่ะ
🔑ครูก้อยใช้สูตรนี้ค่ะ อาหาร 70% วิตามิน 30%
การได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอก่อนตั้งครรภ์ จึงส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์และช่วยให้ครรภ์นั้นเป็นครรภ์ที่สมบูรณ์แข็งแงแรงค่ะ และนี่คือ 5 เหตุผลที่ผู้หญิงวางแผนตั้งครรภ์ต้องทานวิตามินบำรุง
1. ปรับสมดุลฮอร์โมน ปรับประจำเดือนให้มาเป็นปกติ
ปัญหามีบุตรยากสาเหตุหลักมาจากฮอร์โมนไม่สมดุล ฮอร์โมนเพศหญิงต่ำ ฮอร์โมนเพศชายสูง ส่งผลต่อรอบเดือนผิดปกติ ไข่ไม่โต ไข่ไม่ตก วิตามินในกลุ่ม"โฟลิก" และ "อิโนซิทอล" สามารถช่วยปรับ
สมดุลฮอร์โมน เยียวยาภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง (PCOS) ทำให้ประจำเดือนมาปกติและไข่ตกตามรอบเดือน
📚มีงานวิจัยศึกษาการรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับอิโนซิทอลที่เยียวยาภาวะ PCOS ได้ และเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง นักวิจัยเสนอให้ใช้เป็นแนวทางการรักษาผู้มีบุตรยากอันเนื่องมาจากภาวะ PCOS โดยงานวิจัยฉบับนี้ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Endocrinology เมื่อปี 2016 ของประเทศ Germany ได้ทำการศึกษากับผู้หญิงที่มีบุตรยาก 3,602 คน โดยให้ทานกรดโฟลิกและอิโนซิทอลเป็นเวลา 2-3 เดือน
💊ปริมาณที่ให้ทานคือ โฟลิก 400 ไมโครกรัม + อิโนซิทอล 4 กรัม ต่อวัน
ผลการศึกษาพบว่า
✔70% ของผู้หญิงที่ทำการทดลอง มีการตกไข่กลับมาเป็นปกติ 545 คนตั้งครรภ์ คิดเป็น 15.1%
✔ฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนลดลง
✔ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น ซึ่งเป็นฮอร์โมนจำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์ ช่วยให้ผนังมดลูกฟอร์มตัว
หนาขึ้น พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อน
📚อีกงานวิจัยหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the Turkish-German Gynecological Association เมื่อปี 2018 ได้รวบรวมผลการศึกษาการเยียวยาผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS โดยการให้ทานกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมร่วมกับอิโนซิทอล
1. ทดลองกับผู้หญิง 92 คนที่มีปัญหาเรื่องประจำเดือนขาด ประจำเดือน มาน้อย หรือมาห่างกันเกิน 35 วัน (oligomenorrhea) และมีภาวะ PCOS
💊โดยให้ทานโฟลิก 400 ไมโครกรัม + อิโนซิทอล 4 กรัมทุกวัน เป็นเวลา 12-16 สัปดาห์ พบว่า
✔มีอัตราไข่ตกเพิ่มขึ้น
✔น้ำหนักลดลง
✔ฟองไข่เจริญเติบโตดีขึ้น
✔ไขมันดี (HDL) เพิ่มขึ้น
2. ทดลองในผู้หญิง 25 คนที่มีภาวะประจำเดือนขาดหาย หรือ ขางรายไม่มีประจำเดือนเลยตั้งแต่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (amenorrhea) และมีภาวะ PCOS
💊โดยให้ทานโฟลิก + อิโนซิทอล อย่างละ 4 กรัม ต่อวันเป็นเวลา 6 เดือน พบว่า
✔รอบเดือนเริ่มกลับมาเป็นปกติขึ้น
✔สมรรถภาพของรังไข่ดีขึ้น
✔ฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเตอโรนลดลง
3. ทดลองในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ 42 คน (ช่วงอายุ 18-40 ปี) ที่มีภาวะ PCOS
💊โดยให้ทานโฟลิก 400 ไมโครกรัม + อิโนซิทอล 4 กรัมทุกวัน เป็นเวลา 12-16 สัปดาห์ พบว่า
✔ระดับอินซูลินและฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจนลดลง
✔ช่วยเพิ่มค่าความทนต่อน้ำตาล (glucose tolerance) ซึ่งส่งผลดีต่อการลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน
2. ช่วยให้ไข่ตกตรงตามรอบเดือน
นอกจากโฟลิกและอิโนซิทอลแล้ว "ธาตุเหล็ก" มีความสำคัญอย่างมากที่ผู้หญิงวางแผนท้องต้องได้รับให้เพียงพอ หากขาดธาตุเหล็กส่งผลให้เม็ดเลือดไม่สมบูรณ์ โลหิตจาง เป็นสาหตุของภาวะไข่ไม่ตกเช่นกัน
📚มีงานวิจัยที่ตีพิพม์ในวารสาร Obstetrics & Gynecology ศึกษาพบว่า การได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอส่งผลต่อการลดอัตราภาวะไข่ไม่ตก โดยได้ทำการทดลองให้ผู้หญิงทานธาตุเหล็กเสริมกับกลุ่มที่ไม่ทานเปรียบเทียบกัน
ธาตุเหล็กจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดที่เพิ่มจำนวนอย่างมากในช่วงตั้งครรภ์ ปริมาณเลือดในร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 70% เพื่อให้เพียงพอต่อการนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงทารกที่อาศัยอยู่ในครรภ์มารดา จากสถิติพบว่า สตรีตั้งครรภ์มากกว่าครึ่งมีภาวะโลหิตจางจากการได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ
ดังนั้นหญิงที่เตรียมตัวตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเพื่อให้มีธาตุเหล็กเพียงพอ
อาหารที่ให้ธาตุเหล็กสูง เช่น ผักใบเขียว ไข่ ถั่ว ตับ เนื้อแดงไม่ติดมัน แต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้ 100% ดังนั้นจึงควรรับประทานธาตุเหล็กเสริมได้
ยิ่งไปกว่านั้นการได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอยังลดความเสี่ยงภาวะมีบุตรยากอีกด้วย
📚มีการศึกษาพบว่า 15% ของหญิงวัยเจริญพันธุ์มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กและมีผลต่อสภาวะมีบุตรยาก ดังนั้นแม่ๆจึงควรพิจารณาทานธาตุเหล็กเสริมตั้งแต่ก่อนจะตั้งครรภ์
ในช่วงของการตั้งครรภ์การขาดธาตุเหล็กนั้นถือว่าเป็นเรื่องอันตราย เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์หลายอย่าง เช่น เพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด ส่งผลให้ทารกที่เพิ่งคลอดมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ เป็นต้น
ควรรับประทานธาตุเหล็กปริมาณเท่าใดต่อวัน❓
👉คนทั่วไปควรได้รับธาตุเหล็ก 15 มิลลิกรัมต่อวัน
แม่ๆ ที่วางแผนตั้งครรภ์ควรได้รับธาตุเหล็กให้เพียงพออย่างน้อย 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ เพื่อเสริมสร้างเม็ดเลือดให้แข็งแรง และไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตจางขณะตั้งครรภ์
👉คนตั้งครรภ์ควรได้รับธาตุเหล็กไม่ต่ำกว่า 27 มิลลิกรัมต่อวัน หรือควรให้มีธาตุเหล็กในร่างกายปริมาณ 40-60 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะร่างกายต้องนำเลือดไปใช้ในการเลี้ยงทารก จึงต้องได้รับในปริมาณที่มากกว่าคนทั่วไป 3-4 เท่า
3. เพิ่มพลังงานให้กับเซลล์ไข่
ท้องยากเพราะไข่แก่ พลังงานในเซลล์ไข่ลดลง ใช่ค่ะ นี่คือสาเหตุท้องยากของผู้หญิงอายุมาก Co-enzyme Q10 คือ วิตามินที่ช่วยบำรุงไข่ของแม่ๆได้อย่างตรงจุด มีงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับ Q10 ที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับเซลล์ไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น พลังงานในเซลล์ไข่จะด้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การแบ่งเซลล์ของ
ตัวอ่อนมีประสิทธิภาพด้อยลง แบ่งเซลล์ได้ช้า ไม่สามารถเจริญเติบโตไปเป็นบลาสโตซิสต์ หรือบางครั้งหยุดโตกลางทาง หรือไปหยุดการเจริญเติบโตหลังจากใส่เข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง ทำให้ไม่เกิดการฝังตัวอ่อน จึงไม่เกิดการตั้งครรภ์
ในเซลล์ไข่นั้นจะมีไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งไมโตคอนเดรียนี้ทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์ไข่ โดยพลังงานดังกล่าวจะอยู่ในรูปของ ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานของเซลล์
ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานไฟฟ้าที่คอยสร้างพลังงานให้กับเซลล์ต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น และทำให้เซลล์ไข่มีพลังในการแบ่งตัวได้อย่างเป็นปกตินั่นเอง
📚จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Reproductive Biology amd Endocrinology เมื่อปี 2018
ศึกษาพบว่าเมื่อผู้หญิงอายุเพิ่มมากขึ้นประสิทธิภาพในการทำงานของ Mitocondria ลดลง ทำให้เซลล์ไข่ไร้พลัง เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงอายุมากมีบุตรยาก
👉เราจะเพิ่มพลังงานในเซลล์ไข่ได้อย่างไร❓
📚มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Fertility and Sterility เมื่อปี 2009 ศึกษาพบว่า Co-enzyme Q10 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรังไข่ ทำให้ไข่มีคุณภาพมากขึ้น โดยได้ทำการทดลองในหนูทดลองที่มีอายุมาก และสรุปผลว่า การทาน Co-enzyme Q10 อาจช่วยเพิ่มคุณภาพของเซลล์ไข่ของผู้หญิงที่มีอายุมาก
📚 อีกงานวิจัยอีกหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Fertility and Sterility เมื่อปี 2020 ได้ทำการทดลองให้ผู้หญิงอายุมาก (อายุ 38-46 ปี) พบว่าการรับประทาน Q10 ช่วยเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่รวมถึง ลดอัตราการแบ่งเซลล์และโครโมโซมผิดปกติของเซลล์ไข่อีกด้วย
👉Coenzyme Q10 คืออะไร❓
CoQ10 คือสารที่มีคุณสมบัติคล้ายวิตามินซึ่งร่างกายสามารถผลิตเองได้ในปริมาณหนึ่ง พบในทุกเซลล์ของร่างกาย โดยจะอยู่ที่ส่วนเยื่อหุ้ม
(Membrane) ของไมโตคอนเดรีย
Co-enzyme Q10 ถูกพบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง ซึ่งจะมีจำนวนไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) มาก เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมอง และพบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต รวมไปถึงเซลล์ไข่ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์ ไมโตคอนเดรียมีความสำคัญต่อกระบวนการสร้างพลังงาน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย
มีคุณสมบัติ ช่วยเพิ่มพลังงาน ซึ่ง Co-enzyme Q10 ทำงานโดยช่วยเพิ่มพลังให้กับ mitocondria ของเซล์ไข่นั่นเองค่ะ
📚จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Free radical Biology and Medicine เมื่อปี 2019 ศึกษาพบว่า Q10 จะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นผู้ญิงที่เตรียมตัวตั้งครรภ์หรือเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้วควรได้รับ Q10 ในปริมาณที่เพียงพอเพื่อทำให้ไมโตคอนเดรียทำงานได้ดียิ่งขึ้นซึ่งปัจจุบันสามารถหาทานได้จากวิตามินเสริมQ10 ช่วยเพิ่มพลังงานให้เซลล์ไข่แบ่งตัว
ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นการเพิ่มโอกาสได้ตัวอ่อนที่มีคุณภาพและส่งผลต่ออัตราการตั้งครรภ์ที่สูงขึ้นค่ะ
💊ปริมาณที่ควรรับประทานต่อวัน
งานวิจัยพบว่า Q10 ช่วยทำให้คุณภาพของเซลล์ไข่ดีขึ้นได้ และพบว่า อัตราการตั้งครรภ์เพิ่มมากขึ้น เมื่อรับประทานวันละ 30 มก.ขึ้นไปเพื่อบำรุงร่างกายหรือฟื้นฟูสภาพเซลล์ โดยไม่ควรรับประทานเกิน 100 มก.ต่อวัน
4. บำรุงรังไข่ ชะลอรังไข่เสื่อมก่อนวัย
ผู้หญิงที่มีภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัย รังไข่จะไม่ตอบสนองต่อการทำงานของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองที่เป็นฮอร์โมนควบคุมให้รังไข่ทำงาน ผู้หญิงเหล่านี้จะมีอาการต่างๆเหมือนสตรีในวัยหมดประจำเดือน เป็นสาเหตุของการมีบุตรยาด
👉อาการที่พบบ่อยของรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด ได้แก่
ประจำเดือนมาผิดปกติเป็นสิ่งบอกเหตุแรกๆ คือ ประจำเดือนที่เคยมาปกติจะเริ่มห่างออกเรื่อยๆ ปริมาณประจำเดือนจะลดลงจนในที่สุดจะไม่มีประจำเดือนมาอีก
มีอาการที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนเช่น อาการร้อนวูบวาบตามตัว นอนไม่หลับ หงุดหงิด โมโหง่าย ช่องคลอดแห้ง เจ็บแสบช่องคลอดเวลาที่มีเพศสัมพันธ์
การทาน Fish Oil หรือ น้ำมันปลาช่วยบำรุงรังไข่ ชะลอรังไข่เสื่อมก่อนวัยด้วยค่ะ เพราะใน Fish Oil มีโอเมก้า 3 สูง โอเมก้า 3 ช่วยเพิ่มการสร้าง nitrix oxide ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะสืบพันธุ์ได้ดีขึ้นมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มคุณภาพเซลล์ไข่ โดยเฉพาะผู้หญิงวัย 35 ขึ้นไปที่เซลล์ไข่เริ่มเสื่อมคุณภาพ ประสิทธิภาพในการทำงานของรังไข่ลดลง ควรทานโอเมก้า 3 ให้เพียงพอ
📚มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Aging Cell เมื่อปี 2012 ศึกษาพบว่า โอเมก้า 3 ช่วยบำรุงเซลล์ไข่ และ ชะลอความเสื่อมของรังไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ป้องกันทารกพิการแต่กำเนิด
หญิงที่ต้องการจะมีลูกทุกคนต้องกินกรดโฟลิกก่อนตั้งท้อง 3 เดือน ต่อเนื่องจนถึง 3 เดือนแรกของการตั้ง
ท้อง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความพิการของทารก ได้แก่
👉หลอดประสาทไม่ปิด (Neural Tube Defects)
👉ปากแหว่งเพดานโหว่
👉ความผิดปกติของแขนขา
👉หัวใจพิการแต่กำเนิด
👉ระบบทางเดินปัสสาวะผิดปกติ
👉ไม่มีรูทวารหนัก และ
👉กลุ่มอาการดาวน์
ทำไมต้องกินกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์❓
ยังมีความเข้าใจที่ผิดว่าเมื่อตั้งครรภ์ถึงจะรับประทานวิตามินโฟลิก แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องกินก่อนท้อง เพราะวิตามินโฟลิก ช่วยในการสร้างและแบ่งเซลล์ในตัวอ่อนให้สมบูรณ์ตั้งแต่หลังปฏิสนธิภายใน 28 วัน จึง
ดังนั้นการเสริมกรดโฟลิกสามารถทำได้ตั้งแต่วางแผนมีบุตร หรือก่อนตั้งครรภ์ 1-3 เดือน เพราะหากรอจนทราบว่าตั้งครรภ์ก่อนแล้วค่อยทานอาจจะสายเกินไป เพราะในช่วงอายุครรภ์ที่ 3-4 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิ จะเป็นช่วงที่พัฒนาการของสมองและระบบประสาทของทารกจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหลอดประสาทจะปิดอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งนั่นอาจช้าเกินไปที่จะแก้ไขความผิดปกติ
และทานต่อไปอีกหลังเริ่มตั้งครรภ์ยาวไปจนอายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์เพราะความต้องการโฟเลตหรือกรดโฟลิกจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ตัวอ่อน (embryo) กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ควรทานกรดโฟลิกปริมาณเท่าใดต่อวัน❓
👉องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ผู้หญิงวางแผนตั้งครรภ์ได้รับกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมต่อวัน
โดยแนะนำให้ได้รับกรดโฟลิก 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์และได้รับต่อเนื่อง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
👉สำหรับหญิงตั้งครรภ์ควรได้รับกรดโฟลิก
800 ไมโครกรัมต่อวัน
นอกจากนี้ วิตามิน D3 มีความสำคัญต่อผู้หญิงเตรียมตั้งครรภ์ วิตามินD3 มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ช่วยลดฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid Hormone) ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวานซึ่งคนวางแผนท้องต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้ปกติ ลดความเสี่ยงการเป็น PCOS ช่วยบำรุงรังไข่ ที่สำคัญช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัวได้ดีขึ้น ลดอัตรา
เสี่ยงแท้ง
📚มีงานวิจัยศึกษาพบว่าผู้หญิงที่ขาดวิตามินD3 มีอัตราในการฝังตัวของตัวอ่อนต่ำกว่าผู้หญิงที่ได้รับวิตามิน D3 เพียงพอ
วิตามินและแร่ธาตุมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อภาวะเจริญพันธุ์ และการได้รับวิตามินและแร่ธาตุ "ไม่เพียงพอ" เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้มีบุตรยาก
มีรายงานศึกษาออกมาแล้วว่าผู้หญิงที่ประสบปัญหามีบุตรยากอยู่ในภาวะที่ได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่ำกว่าปริมาณที่ควรได้รับ ดังนั้นการรับประทานวิตามินและแร่ธาตุบำรุง "ก่อนการตั้งครรภ์" จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอและช่วยส่งเสริมภาวะเจริญพันธุ์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นค่ะ
โดยหัวใจสำคัญคือ ต้องทานอย่างต่อเนื่องล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ค่ะ เป็น
"prenatal vitamins" หรือ "วิตามินเตรียมตั้งครรภ์" ที่จะเสริมสารอาหารให้กับร่างกายแม่ๆเตรียมพร้อมก่อนเกิดการปฏิสนธิและการแบ่งตัวของตัวอ่อน พูดง่ายๆคือ เราต้องมีวิตามิน แร่ธาตุและสารอาหารที่เพียงพอในร่างกายพร้อมอยู่แล้วก่อนตั้งครรภ์ จึงจะช่วยลดความเสี่ยงทารกพิการ และช่วยให้ตัวอ่อนพัฒนาไปได้อย่างสมบูรณ์ค่ะ
🔑อย่าลืมนะคะบำรุงเตรียมท้อง "อาหารก็ต้องกิน วิตามินก็ห้ามขาด"
ต้องเน้นอาหาร 70% วิตามิน 30% บำรุงก่อนท้องล่วงหน้า 3 เดือน ยิ่งบำรุงอย่างถูกต้อง ถูกวิธี และต่อเนื่อง โอกาสประสบความสำเร็จก็จะมีมากขึ้นเท่านั้นค่ะ เมื่อแม่ๆบำรุงร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ แข็งแรงและพร้อมที่สุด ครูก้อยเชื่อเหลือเกินว่า เบบี๋ต้องมาอยู่กับเราค่ะ
Comments