ตัวอ่อน Day 5 คือหนึ่งในระยะตัวอ่อนจากการ การเลี้ยงผ่านกระบวนการหลังการเก็บเซลล์ไข่และคัดเชื้ออสุจิแล้วนำเซลล์ไข่กับอสุจิมาปฏิสนธิกันจนเป็นตัวอ่อนในห้องแล็ป ซึ่งคุณแม่หลายๆ คนอาจกำลังสงสัยว่า หลังจากผ่านกระบวนการเลี้ยง จนมาถึงกระบวนการย้ายตัวอ่อน ต้องย้ายในระยะไหนดีกว่ากันระหว่าง 3 และ 5 ในบทความนี้ ครูก้อยมีคำตอบค่ะ
ตัวอ่อน Day 5 คือตัวอ่อนระยะไหน ทำไมจึงเหมาะกับการย้าย?
ในการทำเด็กหลอดแก้ว (ICSI) นั้นหลังจากที่ทำการดูดไข่ออกมาจากตัวคุณแม่แล้วก็จะนำมาปฏิสนธิภายนอก หลังจากนั้นก็จะมีการเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการเพื่อให้ตัวอ่อนแบ่งเซลล์จนถึงขนาดที่เหมาะสมที่จะสามารถย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูกได้
พัฒนาการของตัวอ่อน มีกี่ระยะ อะไรบ้าง?
การพัฒนาการของตัวอ่อนมนุษย์ จะเริ่มจากเซลล์หนึ่งเซลล์ เป็นสอง เป็นสี่ เป็นแปด เป็นสิบหก โดยเรียกชื่อระยะต่างๆตามจำนวนวันที่เพาะเลี้ยงได้แก่
ตัวอ่อนDay 1 (ระยะไซโกต, Zygote)
ตัวอ่อนDay 3 (ระยะคลีเวจ, Cleavage)
ตัวอ่อนDay 5 (ระยะบลาสโตซิสต์, Blastocyst)
มาทำความรู้จัก "ตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์" ทำไมย้ายตัวอ่อนระยะนี้ถึงดีที่สุด?
ตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ (Blastocyst) เป็นตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิของไข่และอสุจิซึ่งเลี้ยงให้เติบโตในห้องปฏิบัติการมาได้อายุ 5-6 วัน จะมีเซลล์จำนวน 80-120 เซลล์ ตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ จะมีเซลล์ต้นกำเนิดและเซลล์รกที่พร้อมฝังตัวสู่โพรงมดลูก จึงเรียกได้ว่าเป็นระยะพร้อมฝังตัว
ตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ถือว่าเติบโตได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งจะมีวิธีการแบ่งเกรดตัวอ่อนออกเป็น A B C อีกเพราะไม่ใช่ว่าตัวอ่อนระยะนี้จะเป็นตัวอ่อนที่ดีหมดทุกตัว ยังต้องมีการคัดเลือกอีกครั้งก่อนย้ายกลับสู่โพรงมดลูก
อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปการเลี้ยงตัวอ่อนมาถึงระยะนี้จึงเป็นเหมือนการคัดกรองตัวอ่อนในระดับหนึ่งแล้ว ตัวอ่อนที่เติบโตมาถึงระยะนี้ก็แสดงให้เห็นว่าแข็งแรงในระดับหนึ่ง แพทย์จึงนิยมใส่ตัวอ่อนในระยะ Day 5 เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์มากกว่าค่ะ
6 ข้อดีของการย้ายตัวอ่อน "ระยะบลาสโตซิสต์"
ข้อดีของตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ได้แก่
1. เป็นการคัดกรองตัวอ่อนคุณภาพดีที่มีออกมาใส่กลับเข้าสู่โพรงมดลูก
เมื่อตัวอ่อนเติบโตมาถึงระยะบลาสโตซิสต์ซึ่งถือเป็นการคัดกรองระดับหนึ่ง จากตัวอ่อนที่มีเรายังแบ่งเกรดจากลักษณะที่พบผ่านกล้องจุลทรรศน์ และคัดเลือกตัวอ่อนที่คุณภาพดีที่สุดที่มีเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ซึ่งหากใส่ถูกตัวก็จะลดระยะเวลาของการรอการตั้งครรภ์ลงได้
2. มีอัตราฝังตัวและตั้งครรภ์สูง
การย้ายกลับตัวอ่อนระยะ Blastocyst ทางโพรงมดลูกนั้นเหมาะสมที่จะฝังตัวมากที่สุด เนื่องจากในภาวะการตั้งครรภ์โดยธรรมชาตินั้น ตัวอ่อนจะเดินทางไปถึงโพรงมดลูกเพื่อที่จะฝังตัวในระยะ Blastocyst เช่นกัน แต่ถ้าหากเป็นตัวอ่อนระยะDay 3 (Cleavage) จะเป็นช่วงที่ตัวอ่อนอยู่ในท่อนำไข่ จึงอาจจะยังไม่พร้อมในการฝังตัว ต้องใช้เวลาพัฒนาให้เป็นระยะบลาสโตซิสท์ก่อนจึงจะพร้อมสำหรับการฝังตัวที่โพรงมดลูก นอกจากนั้นระยะคลีเวจอาจมีโอกาสหยุดการเจริญเติบโตก่อนการฝังตัวได้ด้วย
3. ตัวอ่อนที่คุณภาพดีก็จะช่วยลดอัตราการแท้งอีกด้วย
เพราะจะส่งผลต่อความสำเร็จกับการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
4. สามารถตรวจโครโมโซมของตัวอ่อนเพื่อเช็กความผิดปกติได้
เราสามารถดึงเซลล์รกของตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์เพื่อมาตรวจโครโมโซม 23 คู่ด้วยผลที่แม่นยำถึง 99 % เพื่อตรวจดาวน์ซินโดรม ในกลุ่มแม่อายุเกิน 35 ปี
แม่ที่แท้งบ่อย รวมถึงสามารถตรวจคัดกรองโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง โดยใช้เทคนิคการตรวจต่างๆ เพิ่มเติม อันนี้ก็จะช่วยให้มั่นใจมากขึ้นว่าตัวอ่อนมีคุณภาพและไม่มีความผิดปกติแฝงอยู่
ที่สำคัญการตรวจโครโมโซมในระยะนี้ไม่ส่งผลกับการตั้งครรภ์ เนื่องจากการดึงเซลล์จากรกไม่ส่งผลกับตัวอ่อน ต่างจากการตรวจตัวอ่อน Day 3 ที่มีตัวอ่อนเพียง 6-8 เซลล์เมื่อไปดึงเซลล์ออกมาก็อาจส่งผลกับตัวอ่อนและการตั้งครรภ์ได้
5. ลดการเกิดตั้งครรภ์แฝด
เนื่องจากเป็นการคัดเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุด และเป็นระยะที่พร้อมจะฝังตัว ดังนั้นคุณหมอจึงย้ายตัวอ่อนกลับเพียง 1-2 ตัวเท่านั้น จึงลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์แฝดซึ่งถือเป็นภาวะแทรกซ้อนของการทำเด็กหลอดแก้ว เพราะการตั้งครรภ์แฝดมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของทั้งแม่และทารกในครรภ์หลายประการเช่น ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือ คลอดก่อนกำหนด เป็นต้น
6. ตัวอ่อนที่เหลือสามารถเก็บแช่แข็งไว้ได้
การย้ายกลับตัวอ่อนในจำนวนที่น้อยลง ทำให้มีตัวอ่อนคุณภาพดี เหลือเก็บแช่แข็งไว้สำหรับย้ายกลับในรอบถัดๆ ไปได้ค่ะ
อย่างไรก็ดี สำหรับข้อเสียของการเลี้ยงตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์อาจจะมีได้ หากมีไข่น้อย แล้วได้ตัวอ่อนไม่มาก การเลี้ยงตัวอ่อนนานไปจนถึงวันที่ 5-6 อาจไม่มีตัวอ่อนเหลือให้ย้ายกลับสู่โพรงมดลูก เนื่องจากตัวอ่อนตายหมดหรือคุณภาพไม่ดี
เพราะฉะนั้นถ้าจะเลี้ยงตัวอ่อนยาว ๆ อาจจะต้องมาพิจารณาดูด้วยว่าเลี้ยงเพราะอะไร มีจำนวนไข่ จำนวนตัวอ่อนมากพอหรือไม่ เสี่ยงต่อโรคพันธุกรรม เช่น อายุของแม่เกิน 35 ปีหรือไม่ หรือต้องการตรวจโครโมโซมเพิ่มเติม ฯลฯ รายละเอียดเหล่านี้ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอีกครั้งตามความเหมาะสม เนื่องจากแต่ละรายอาจมีเงื่อนไขที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
コメント