top of page
ค้นหา

Checklist ตรวจร่างกายเตรียมตั้งครรภ์ เช็คอะไรบ้างต้องรู้!


Checklist ตรวจร่างกาย

เตรียมตั้งครรภ์ เช็คอะไรบ้างต้องรู้!


การตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ ปลอดภัยทั้งแม่และลูกตลอดจนการคลอดเจ้าตัวน้อยออกมาสมบูรณ์แข็งแรงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้เป็นปกติสำหรับทุกคู่นะคะ


ดังนั้นในการตั้งครรภ์คู่สมรสต้องมีการวางแผนและตรวจร่างกายล่วงหน้าก่อนค่ะ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทราบถึงสุขภาพโดยรวมของทั้งคุณพ่อและคุณแม่ รวมไปถึงหมู่เลือด โรคทางพันธุกรรมต่างๆ หรือความผิดปกติใดๆก็ตามที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์หรือทารกในครรภ์ได้


👩‍⚕️การพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายก่อนตั้งครรภ์จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญมากค่ะ แม่ๆ จะได้รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร หรือรักษาโรคใดให้หายก่อนตั้งครรภ์...เพื่อท้ายที่สุดเราจะได้ไม่มาเสียใจในภายหลังหากเกิดสาเหตุที่ทำให้การตั้งครรภ์ต้องหยุดลง หรือ เจ้าตัวน้อยไม่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น


อย่างแน่นอนค่ะ


💗วันนี้ครูก้อยนำข้อมูลเรื่องการตรวจร่างกายก่อนการตั้งครรภ์มาฝากแม่ๆ ไปดูกันค่ะว่าต้องตรวจอะไรบ้าง แม่ๆ จะได้เตรียมตัวให้พร้อม เพื่อการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์และความปลอดภัยของเจ้าตัวน้อยค่ะ


.


1.#การซักประวัติ


จะเป็นการสอบถามทั่วไป หรือสอบถามถึงปัญหาในปัจจุบัน โดยสิ่งที่หมอจะซักถาม ได้แก่


(1) ประวัติการคุมกำเนิด

- การใช้ยาคุมกำเนิด ประวัติการตั้งครรภ์ครั้งก่อนๆ

- ประวัติการตรวจมะเร็งปากมดลูก

- ความผิดปกติเกี่ยวกับรอบประจำเดือน ประจำเดือนมาสม่ำเสมอหรือไม่ และประจำเดือนครั้งสุดท้ายมาเมื่อไหร่ หากยังไม่ได้บันทึกก็ให้เริ่มทำ


ตั้งแต่วันนี้ได้เลยค่ะ เพราะประวัติประจำเดือนจะช่วยทำให้เราทราบอายุครรภ์และวันคลอดได้ค่ะ


โดยหากเราประจำเดือนขาดและคาดว่าตั้งครรภ์ หากตรวจพบว่าตั้งครรภ์ อายุครรภ์จะนับจากวันแรกของประจำเดือนที่มาครั้งสุดท้าย


(2) ประวัติการเจ็บป่วย การรับประทานยา โรคประจำตัว


การทราบประวัติเหล่านี้แพทย์จะได้ทราบว่าเรามีโรคประจำตัวอะไรที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์ หรือยาที่เราทานอยู่จะส่งผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่


การใช้ยานี้ ทั้งจากที่แพทย์สั่งหรือการซื้อยามารับประทานเอง รวมไปถึงการแพ้ยา (จะต้องจำให้ได้ค่ะว่าแพ้ยาอะไร อาการเป็นอย่างไร ถ้าจำไม่ได้ก็จดชื่อยาไว้ติดตัวตลอดเวลาก็จะดีที่สุด) เพราะยาบางชนิดมีผลต่อการตั้งครรภ์ค่ะ


(3) ประวัติทางสูติกรรม


แพทย์จะสอบถามว่า เคยตั้งครรภ์มาก่อนหรือไม่ จำนวนการตั้งครรภ์ ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก ครรภ์เป็นพิษ เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด การผ่าตัดทำคลอด การตั้งครรภ์แฝด การแท้งบุตร หรือให้กำเนิดเด็กพิการ คุณแม่ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อม

รวมถึงประวัติการรับประทานกรดโฟลิกด้วยค่ะ เพราะแพทย์จะได้วางแผนการดูแลคุณแม่ได้อย่างถูกต้อง


ซึ่งการรับประทานกรดโฟลิกนั้นมีความสำคัญมาก ต้องรับประทานล่วงหน้าก่อนท้องอย่างน้อย 3 เดือน จะช่วยป้องกันทารกพิการ ป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ช่วยพัฒนาระบบสมองและประสาท ซึ่งหัวใจสำคัญคือ "ต้องทานก่อนท้อง" และทานต่อไปอีกหลังเริ่มตั้งครรภ์ยาวไปจนอายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์ เพราะหากรอจนทราบว่าตั้งครรภ์ก่อนแล้วค่อยทานอาจจะสายเกินไป เพราะในช่วงอายุครรภ์ที่ 3-4 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิ จะเป็นช่วงที่พัฒนาการของสมองและระบบประสาทของทารกจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหลอด


ประสาทจะปิดอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งนั่นอาจช้าเกินไปที่จะแก้ไขความผิดปกติ


(4) ประวัติการฉีดวัคซีน

แม่ๆ ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมว่าเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่อาจจะติดต่อไปยังทารกหรือไม่ เช่น โรคหัดเยอรมัน ไวรัสตับอักเสบ ไข้อีสุกอีใส บาดทะยัก


หากไม่เคยฉีดก็ต้องฉีดค่ะ เพราะหากเป็นโรคเหล่านี้ขึ้นมาขณะตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกพิการได้ และวัคซีนบางตัวหากฉีดแล้วต้องเว้นระยะ 3-6 เดือนก่อนเริ่มตั้งครรภ์


คลิกศึกษาเพิ่มเติม👉 https://youtu.be/nHdQXcBdh8o


(5) ประวัติทางครอบครัว

เป็นการสอบถามว่ามีใครเป็นโรคทางพันธุกรรม โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเลือด ฯลฯ หรือไม่

เพื่อจะได้ประเมินความเสี่ยงของแม่ค่ะ



(6) ประวัติส่วนตัว เช่น สภาพแวดล้อมในการทำงาน สิ่งแวดล้อมของที่อยู่อาศัย สัตว์เลี้ยงในบ้านประวัติการออกกำลังกาย (วิธีการออกกำลังกาย ระยะเวลาและความแรงในการออกกำลังกาย เผื่อมีข้อห้ามที่ควรลดการออกกำลังกายลงหากออกหักโหมเกินไป)


รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน การใช้ยาเสพติด เพื่อแพทย์จะได้พิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจมีผลต่อทารกในครรภ์


.


2. #การตรวจร่างกายทั่วไป


จะเป็นการตรวจดูความสมบูรณ์ของร่างกายทั้งพ่อและแม่ โดยคุณหมอจะตรวจดูว่า มีโรคบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์หรือไม่ ได้แก่


- โรคความดันโลหิตสูง


- โรคเบาหวาน

- โรคหัวใจ

- โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ


โดยสิ่งที่หมอจะตรวจก็ได้แก่.....


✅ การวัดส่วนสูง

✅ ชั่งน้ำหนัก

✅ ตรวจปัสสาวะ

✅ เอ็กซเรย์ปอด

✅ วัดความดันโลหิต

✅ ตรวจเลือด เช็คฮอรโมน เช็คไขมัน เช็คระดับน้ำตาลในเลือด

✅ ตรวจระบบหายใจ

✅ ตรวจระบบหัวใจ


👉หากตรวจว่าพบความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ทั้งแพทย์เฉพาะทางและสูตินรีแพทย์ ซึ่งจะต้องพิจารณาร่วมกันว่าสมควรให้มีการตั้งครรภ์ได้หรือไม่


👉นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย อย่างโรคที่พบบ่อย ๆ เช่น โรคหนองใน โรคซิฟิลิส แผลริมอ่อนและแข็ง ไวรัสตับอักเสบบี ถ้าจะป้องกันเอาไว้ก่อนก็จะดีกว่ามารักษาทีหลัง


👉ส่วนโรคเอดส์นั้น ถ้าคุณแม่ติดเชื้อจะมีโอกาสถ่ายทอดไปสู่ลูกได้มากถึงร้อยละ 20-30 (ถ้าได้รับยาระหว่างตั้งครรภ์ จะลดโอกาสการถ่ายทอดไปสู่ลูกน้อยกว่าร้อยละ 10) หากพ่อหรือแม่ติดเชื้อเอดส์ ก็ไม่ควรจะปล่อยให้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น



.


3.#การเจาะเลือดตรวจอย่างละเอียด


👉คุณพ่อคุณแม่ควรได้รับการตรวจเลือดอย่างละเอียด เพื่อดูว่ามีโอกาสตั้งครรภ์โดยที่ #ภาวะแม่ลูกกลุ่มเลือดไม่เข้ากันหรือไม่ หากเกิดภาวะนี้ขึ้น หมอจะได้ให้คำแนะนำเพื่อให้การตั้งครรภ์ผ่านพ้นไปอย่างปลอดภัยได้ ในขั้นตอนนี้โดยรวมแล้วจะ


เป็นการตรวจเพื่อ....


- ดูความเข้มข้นของเลือด

- โรคเลือด

- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

- โรคติดต่อทางพันธุกรรม

- ธาลัสซีเมีย

- ตรวจภูมิคุ้มกันโรค เช่น หัดเยอรมัน ไวรัสตับอักเสบบี และซิฟิลิส


👉 #สำหรับการตรวจโรคทางพันธุกรรม หากพบว่าทั้งพ่อและแม่ต่างก็มีโรคทางพันธุกรรมแฝงอยู่ในตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกได้ 1 ใน 4 คน โดยจะมี 1 คนที่ปกติ มี 2 คนที่ปกติแต่มีโรคแฝง ส่วนอีก 1 คนนั้นจะผิดปกติหรือมีโรคปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นโรคเลือดธาลัสซีเมียทั้งคู่ หมอจะไม่แนะนำให้มีลูกเลยค่ะ


.


4.#การตรวจภายใน



เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญอย่างหนึ่งในการเตรียมตัวเป็นคุณแม่ โดยจะเป็นการตรวจ.....


🔸️มดลูกและรังไข่ว่าปกติดีหรือไม่

🔸️ช่องคลอด ว่ามีการอักเสบหรือไม่ เพราะมีผลโดยตรงต่อการตั้งครรภ์และการคลอด ปากมดลูกตีบหรือไม่

🔸️มีเนื้องอกของมดลูก หรือ รังไข่หรือไม่

🔸️มีพังผืดหรือมีถุงน้ำในรังไข่หรือไม่

🔸️มะเร็งปากมดลูก


👉ส่วนคุณผู้หญิงที่มีประจำเดือนแล้วมักปวดท้องมาก ๆ จนทำอะไรไม่ได้เลย และต้องกินยาแก้ปวดหรือต้องหยุดงานเป็นประจำ อย่างนี้จะมีความเสี่ยงเป็นเนื้องอกหรือเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ได้ค่ะ ควรรีบไปหาหมอเพื่อตรวจดู หากเป็นขึ้นมาจะได้รักษา เพราะโรคนี้ถ้าเป็นแล้วจะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ยากขึ้น หากได้รับการรักษาแล้ว โอกาสที่จะตั้งครรภ์ก็มีมากขึ้นค่ะ


.



5. #ตรวจฮอร์โมน

โดยเฉพาะคนที่เข้าข่ายภาวะพรุ่งนี้บุตรยากและต้องการเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว มักจะต้องตรวจเลือดเพื่อเช็คฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ เพื่อประเมินโอกาสความสำเร็จร่วมด้วย เช่น


👉FSH ฮอร์โมนการทำงานของรังไข่

👉LH ฮอร์โมนเร่งไข่ตก

👉AMH ฮอร์โมนประเมินไข่ตั้งต้น

👉Estradiol (E2) ฮอร์โมนเพศหญิง



📱ชมคลิปตรวจฮอร์โมนอะไร ก่อนไป ICSI ทำเด็กหลอดแก้ว

คลิกชมเลยค่ะ →

https://youtu.be/HcQ1E9zBxgo

.


6. #การตรวจพิเศษอื่น ๆ

หลังจากที่ตรวจร่างกายและตรวจภายในไปแล้ว


หากแพทย์สงสัยว่ามีความผิดปกติบางอย่าง ก็อาจจะต้องให้ตรวจพิเศษเพิ่มเติมด้วย เช่น ตรวจอัลตราซาวด์ในช่องท้อง หรือส่องกล้องตรวจในอุ้งเชิงกราน


.


#สำหรับว่าที่คุณพ่อ🧑

ก็ต้องตรวจเลือดเพื่อหาโรคติดต่อต่างๆตามที่กล่าวมาข้างต้น อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับฝ่ายชาย คือ การตรวจความสมบูรณ์ของอสุจิ หรือที่เรียกว่าตรวจวิเคราะห์อสุจิ (Semen Analysis)


เพราะหากอสุจิไม่แข็งแรง ไม่มีคุณภาพ รูปร่างผิดปกติ ก็จะได้รับคำแนะนำให้บำรุงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำร้ายสเปิร์มตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้เตรียมอสุจิให้สมบูรณ์ที่สุด เตรียมพร้อมในการตั้งครรภ์ต่อไปค่ะ


.

.


การเตรียมตัวที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เมื่อวางแผนตั้งครรภ์ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย รักษาโรคที่อาจเป็นอุปสรรคในการตั้งครรภ์ให้เรียบร้อย พร้อมกับบำรุงร่างกายให้แข็งแรงทั้งคุณพ่อคุณแม่ ทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอเป็นการบำรุงไข่ บำรุงสเปิร์มและปรับฮอร์โมนให้สมดุล เตรียมพร้อมตั้งครรภ์ค่ะ




ดู 345 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page