top of page
ค้นหา

มดลูกอักเสบ เกิดจากอะไร หากไม่รักษาจะเกิดอะไรขึ้น?



มดลูกอักเสบ เป็นอาการที่หญิงสาวหลาย ๆ คนอาจเป็นกันได้บ่อย ๆ เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่มีรอบเดือน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดจนลามไปจนถึงโพรงมดลูกนั่นเองค่ะ อย่างไรก็ดี ก็ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ยังไม่แน่ใจว่าอาการนี้เกิดจากอะไรกันแน่ มีข้อสังเกตอย่างไรบ้างว่าเราเป็นหรือไม่ และหากเป็นแล้วไม่ได้รักษาจะส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย ครูก้อยมีคำตอบค่ะ


มดลูกอักเสบ เกิดจากอะไร มีอาการยังไง รักษาด้วยวิธีไหนบ้าง?


มดลูกอักเสบ เป็นโรคที่ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นมากที่สุด โดยโรคนี้จะมีอาการปวดท้องน้อยแบบหน่วง ๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงหลังวันหมดประจำเดือน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 15-45 ปี และจะเป็นอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด โดยหากปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะเป็นอันตรายมากอีกด้วย


มดลูกอักเสบ เกิดจาก


ส่วนใหญ่แล้ว มดลูกอักเสบเกิดจาก การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อคลาไมเดียหรือเชื้อหนองในเทียม (Chlamydia) เชื้อหนองใน (Gonorrhoea) ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคบริเวณอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง แบคทีเรียเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายผ่านทางช่องคลอด ก่อนจะไปถึงปากมดลูก และอาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะใกล้เคียง เช่น มดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ อุ้งเชิงกราน เชื้อมักถ่ายทอดผ่านการมีเพศสัมพันธ์


นอกจากนี้ ยังสามารถเกิดได้จาก การระคายเคืองเมื่อใช้ผ้าอนามัยแบบสอด ความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศและแบคทีเรียในช่องคลอด ภาวะเหล่านี้หากไม่รักษาและปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง ฝีในท่อรังไข่ ภาวะมีบุตรยากในอนาคต และภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกได้


ปัจจัยใดบ้างที่มีความเสี่ยง?


ปัจจัยต่อไปนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะมดลูกอักเสบได้

  • มีเพศสัมพันธ์ก่อนอายุ 25 ปี

  • มีคู่นอนหลายคน

  • มีคู่นอนที่มีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในเวลาเดียวกัน

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย

ลักษณะอาการ


สำหรับอาการของมดลูกที่มีการอักเสบนั้น จะมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงระดับที่มีความรุนแรงค่ะ เช่น ผู้ป่วยอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ อาเจียน รู้สึกอ่อนเพลีย เป็นต้น โดยนอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น รู้สึกเจ็บหรือแสบขณะถ่ายปัสสาวะ มีเลือดออกระหว่างและหลังมีเพศสัมพันธ์ มีตกขาวผิดปกติ เช่น ตกขาวสีเหลือง สีเขียว และอาจมีกลิ่น และที่ดูรุนแรงที่สุดก็คือ การมีเลือดออกจากช่องคลอดในช่วงที่ไม่ได้มีประจำเดือน ค่ะ


แนวทางการรักษา


สำหรับการรักษา แพทย์จะรักษาโดยการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงก่อน พร้อมกับให้ยารักษาตามอาการ ซึ่งผู้ป่วยบางคนที่มีอาการรุนแรง ตัวซีด อาจต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อให้เลือดและดูอาการอย่างใกล้ชิดต่อไปค่ะ


วิธีป้องกันไม่ให้มดลูกเกิดการอักเสบ


วิธีป้องกันภาวะมดลูกเกิดการอักเสบ อาจทำได้ดังต่อไปนี้ค่ะ


  • หากใช้ผ้าอนามัยแบบสอดแล้วรู้สึกระคายเคือง ควรเปลี่ยนไปใช้ผ้าอนามัยแบบอื่น เช่น ผ้าอนามัยแบบแผ่น เพื่อลดความระคายเคืองภายในช่องคลอดที่อาจทำให้เกิดการอักเสบได้

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้ ยาคุมกำเนิดประเภทต่าง ๆ ไม่อาจป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ จำเป็นต้องสวมใส่ถุงยางอนามัยเท่านั้น

  • ไม่ควรล้างสวนช่องคลอด เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบ และกระทบต่อแบคทีเรียที่ดีในช่องคลอดได้

  • หากพบว่าตัวเองเสี่ยงเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจภายในและรับการรักษาตั้งแต่ติดเชื้อในระยะแรก ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะมดลูกอักเสบในอนาคต


อย่างไรก็ดี วิธีป้องกันอีกวิธีหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การที่เราต้องหมั่นสังเกตและเฝ้าระวังตนเองให้ดีค่ะ เพราะการที่เราจะตั้งครรภ์ได้นั้น สิ่งที่ฝ่ายหญิงพึงมี คือ ร่างกายที่มีความแข็งแรงและสมบูรณ์ทั้งภายในและภายนอก จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ โดยเฉพาะระบบภายในที่เราไม่ควรละเลย เพราะหากเราไม่เอาใจใส่ นอกจากจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้แล้วนั้นก็อาจนำมาซึ่งโรคที่ร้ายแรงสำหรับเราได้ค่ะ


บทความที่น่าสนใจ





ดู 9,316 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Commentaires


ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page