ช่วงฉีดยากระตุ้นเป็นช่วงที่คุณแม่ควรใส่ใจเป็นพิเศษเพื่อการบำรุงไข่อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ครูก้อยมีคำแนะนำและข้อห้ามสำหรับการบำรุงไข่มาฝากแม่ๆ กันค่ะ
ช่วงฉีดยากระตุ้นไข่เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่
การฉีดยากระตุ้นไข่เป็นวิธีกระตุ้นให้ไข่กลมสวยและมีคุณภาพ เพื่อตั้งครรภ์ให้มีมากขึ้น ซึ่งวิธีการกระตุ้นไข่ในปัจจุบันมีทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ การทานยากระตุ้นไข่ โดยใช้ยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนสำหรับกระตุ้นการสร้างไข่ที่มีคุณภาพ โดยคุณหมอจะให้ทานยากระตุ้นไข่ในช่วง 3-5 วันแรกของประจำเดือน คุณแม่จะต้องทานทุกวันตามคำแนะนำของแพทย์ จากนั้นจะนัดอัลตร้าซาวด์ติดตามการเจริญเติบโตของฟองไข่เป็นระยะๆ หากไข่โตตามเกณฑ์ (ประมาณ 18-20 มม.) แพทย์จะกำหนดวันให้คุณพ่อและคุณแม่มีเพศสัมพันธ์กันตามธรรมชาติในช่วงไข่ตก ส่วนการฉีดยากระตุ้นไข่ คุณหมอจะฉีดฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างไข่ โดยคุณแม่จะต้องฉีดตรงเวลาทุกวัน เพื่อรักษาปริมาณฮอร์โมนในกระแสเลือดให้คงที่ เพราะถ้าฉีดเร็วกว่าเวลากำหนด อาจทำให้ไข่สุกและตกก่อนเวลาเก็บไข่ ทำให้เก็บไข่ได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่ถ้าฉีดยาช้ากว่าเวลากำหนด อาจส่งผลต่อคุณภาพของไข่ไม่ดีเมื่อถึงกำหนดเก็บไข่
บำรุงไข่ในช่วงฉีดยากระตุ้นโดยเน้นกลุ่มอาหาร 5 ชนิด
1. โปรตีน
โปรตีนมมีกรดอะมิโนจำเป็น ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของร่างกาย, ช่วยให้ระบบฮอร์โมน กล้ามเนื้อ กระดูก และผิวหนังทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ, ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ, สังเคราะห์เอนไซม์และสารเคมีต่างๆ ในร่างกาย, ขนส่งออซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และสารอาหารต่างๆ ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย, ปรับสมดุลและรักษาความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย อีกทั้งสร้างภูมิต้านทาน ป้องกันการติดเชื้อและการแข็งตัวของเลือดอีกด้วย โดยแหล่งโปรตีนที่ครูก้อยแนะนำจำพวกเนื้อสัตว์ ได้แก่ ไข่ ,ปลา, เนื้อเป็ด, เนื้อไก่ (ควรทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์แต่พอเหมาะเพื่อป้องกันไขมันและคอเลสเตอรอลที่มากเกินไป) และโปรตีนจากพืชเสริมอย่าง งาดำ ,โปรตีน Ferty , good grain, นมแพะ,นมอัลมอนด์ สำหรับคุณแม่ที่วางแผนตั้งครรภ์ควรได้รับโปรตีน 1.5 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก.
2. กรดไขมันดี
กรดไขมันดีเป็นไขมันคอเลสเตอรอลที่ทำหน้าที่กำจัดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีตามหลอดเลือดและส่งไปยังตับเพื่อขับออกจากร่างกาย นอกจากจะบำรุงในช่วงฉีดกระตุ้นไข่แล้วยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย คุณแม่ควรรักษาระดับไขมันดีให้อยู่ในปริมาณ 40-60 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หากต่ำกว่านี้อาจเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพได้ โดยอาหารที่มีกรดไขมันดีที่ครูก้อยแนะนำ ได้แก่ อะโวคาโด้, เมล็ดฟักทอง, น้ำมันปลา และ เมล็ดแฟลกซ์ (Flax Seed)
3. AntiOxidant (สารต้านอนุมูลอิสระ)
เป็นสารที่ช่วยยับยั้งหรือชะลอการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระซึ่งสร้างความเสียหายต่อ DNA ทำให้โมเลกุลในร่างกายไม่เสถียร จนก่อโรคภัยต่างๆ ตามมา หากร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระมากพอจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เช่น โรคมะเร็ง, โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน ฯลฯ และชะลอความแก่ตามวัยให้ช้าลง อีกทั้งป้องกันมลพิษจากสิ่งแวดล้อมที่เข้าสู่ร่างกายอีกด้วย โดยอาหารที่มีส่วนประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ครูก้อยขอแนะนำ ได้แก่ น้ำมะกรูด ดับเบิ้ล 2 ขวด , Pure red + Pure green 2 ช้อนชา ผสมในน้ำผักปั่น ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่,วิตามินซี,น้ำผึ้งชันโรง
4. น้ำ 2-3 ลิตร
น้ำเป็นตัวกลางสำคัญในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการย่อยอาหาร, ดูดซึมอาหาร และขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย น้ำช่วยขนส่งอาหารและออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย นำของเสียและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขับออกจากร่างกาย รักษาการดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่เซลล์ลำไส้ให้สมดุล นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายและรักษาระดับความเป็นกรด-ด่างของเลือด ทางที่ดีคุณแม่ควรดื่มน้ำสะอาดอุณหภูมิห้องอย่างน้อยวันละ 2.7 ลิตร/วัน หรือวันละ 6-8 แก้ว
5. คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
ตามธรรมชาติแล้วร่างกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาลเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานสำหรับเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ส่วนคาร์โบไฮเดรตที่ครูก้อยแนะนำจะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มาจากแป้งและเส้นใยอาหารที่ไม่ผ่านการขัดสี เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ และมีเส้นใยอาหารสูงช่วยให้ระบบย่อยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและควบคุมน้ำหนักได้ดีเนื่องจากช่วยให้อิ่มนานกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว โดยอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ครูก้อยจะแนะนำ ได้แก่ ข้าวกล้อง, ธัญพืช, ขนมปังโฮลวีต ฯลฯ
ข้อห้ามช่วงฉีดกระตุ้นไข่
ห้ามใช้สารเคมี, โบท๊อกซ์, เลเซอร์, ทำสีผม, ฉีดน้ำหอม, ทาครีม, โลชั่น, ยาสระผมสารเคมี
ห้ามออกกำลังกายหนัก, ห้ามเวทหนัก แนะนำให้เดินออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว
ห้ามกินอาหารขยะ, อาหารแปรรูป, ของทอด, ของมัน, ไขมันทรานส์, อาหารปรุงรสจัด
ห้ามกินหวานแม้แต่ผลไม้รสหวานก็ตาม
ห้ามนอนดึก, ห้ามเครียด
ห้ามป่วย, ห้ามกินยา, ห้ามท้องเสีย
Comments