top of page
ค้นหา

ครรภ์เป็นพิษ ภัยร้ายระหว่างตั้งครรภ์ที่คุณแม่ควรให้ความสำคัญ



ขึ้นชื่อว่าภาวะครรภ์เป็นพิษ ต่อให้ไม่รู้จักแต่ถ้าใครได้ยินชื่อแล้วก็คงรู้สึกกลัวกันแล้วใช่มั้ยคะ ใช่ค่ะ ภาวะดังกล่าวถือว่าเป็นภาวะอันตราย เป็นภัยร้ายระหว่างตั้งครรภ์ที่คุณแม่ทุกคนควรให้ความสำคัญและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเองเท่าที่พอจะป้องกันได้ ว่าแต่ภาวะดังกล่าวคืออะไร มาอ่านกันค่ะ


ครรภ์เป็นพิษคืออะไร


เป็นภาวะความดันโลหิตสูงกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท และมีภาวะอื่นแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น พบโปรตีนในน้ำปัสสาวะ มือเท้าบวมขึ้น ดวงตาพร่ามัว ฯลฯ ส่งผลให้รกบางส่วนขาดออกซิเจนและเลือด เลือดจึงไหลไปเลี้ยงรกน้อยลงและหลั่งสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของคุณแม่ รกจึงฝังตัวไม่แน่นพอ แต่หากคุณแม่มีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 มิลลิเมตรปรอท จัดอยู่ในภาวะครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แม้ว่าจะไม่ทราบสาเหตุของการเกิดครรภ์เป็นพิษอย่างแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากรกเกาะตัวผิดปกติ เส้นเลือดจึงตีบและเกิดภาวะความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ


ระดับความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษ

  • ระดับไม่รุนแรง (Non severe preeclampsia) เป็นระดับไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท

  • ระดับรุนแรง (Severe Preeclampsia) ผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 มิลลิเมตรปรอท มักพบอาการแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น เลือดแดงแตก เกล็ดเลือดต่ำเม็ด ตับอักเสบ

  • ระดับรุนแรงและมีภาวะชักร่วมด้วย (Eclampsia) ผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 มิลลิเมตรปรอท พร้อมกับภาวะอันตรายอย่างอาการชักเกร็ง หมดสติ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาทันที

ภาวะแทรกซ้อนจากครรภ์เป็นพิษ

  • อาการชัก

  • รกลอกตัวก่อนกำหนด

  • อวัยวะภายในเสียหาย

  • โรคหลอดสมอง (ตามระดับความรุนแรง)

  • ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้าลง หรืออาจเสียชีวิตในครรภ์

สังเกตอาการครรภ์เป็นพิษได้ด้วยตัวเอง หากมีอาการต่อไปนี้

  • ตรวจพบภาวะความดันโลหิตสูง

  • รกลอกหรือหลุดก่อนกำหนด

  • ปวดศีรษะ

  • ดวงตาพร่ามัว

  • รู้สึกจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่

  • ลูกมีพัฒนาการที่ด้อยลง สังเกตได้จากการดิ้นที่น้อยลง

  • ท้องแข็งเป็นเวลานาน

  • น้ำหนักเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

  • มีเลือดไหลออกจากช่องคลอด

  • เกิดภาวะชักเฉียบพลัน

  • มีอาการ HELLP เป็นอาการที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดแดงแตก ส่งผลให้ค่าเอนไซม์ในตับสูงและมีเกล็ดเลือดต่ำ แม้จะเป็นอาการที่ขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ทั้งนี้สังเกตได้คร่าว ๆ จากอาการปวดศีรษะ ปวดบ่าไหล่ คลื่นไส้อาเจียน มือเท้าบวม ชักเกร็ง เป็นต้น

ใครเสี่ยงครรภ์เป็นพิษบ้าง

  • คุณแม่ที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน

  • คุณแม่ที่ได้รับกรรมพันธุ์จากคนในครอบครัว

  • คุณแม่ที่มีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ

  • คุณแม่ที่ผ่านการตั้งครรภ์แฝด หรือมากกว่า 1 คน

  • คุณแม่ที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี และมากกว่า 35 ปี

  • คุณแม่ที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์

  • คุณแม่ที่มีภาวะมีบุตรยาก

  • คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก

  • คุณแม่ที่มีโรคประจำตัว เช่น แพ้ภูมิตัวเอง โรคไต ไทรอยด์ โรคเบาหวาน

ภาวะครรภ์เป็นพิษ รักษาได้อย่างไรบ้าง


วิธีเดียวที่สามารถรักษาภาวะครรภ์เป็นพิษได้ถาวรคือการคลอดลูกค่ะ แต่หากคุรแม่ได้รับผลข้างเคียงจากภาวะครรภ์เป็นพิษ หมอจะพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการคลอด หากไม่มีอาการรุนแรง สามารถประคองไปจนถึงช่วงเวลาคลอดได้ แพทย์จะไม่แนะนำให้คลอดก่อนกำหนดด้วยการผ่าคลอดหรือเร่งคลอดทารก แต่จะให้คุณแม่อยู่บ้านและนัดดูอาการเท่าที่จำเป็น แต่หากคุณแม่มีภาวะครรภ์เป็นพิศชนิดรุนแรง แพทย์จะให้นอนโรงพยาบาลและใช้ยาบรรเทาอาการตามความเหมาะสม เช่น ใช้ยาละลายลิ่มเลือดและหยุดยาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนคลอด


แต่หากคุณแม่มีอาการ HELLP ที่อาจเป็นอันตรายต่อตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ แพทย์จะทำการรักษาโดยการเร่งคลอดก่อนกำหนดเพื่อลดความเสี่ยงที่จะตามมาในภายหลัง เช่น ตกเลือดหลังคลอดอย่างรุนแรง, ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (ARDS) ฯลฯ จากนั้นอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังการรักษาอย่างน้อย 2-3 วัน


ภาวะครรภ์เป็นพิษ ป้องกันได้ด้วยการดูแลตัวเอง


1. ฝากครรภ์


นอกจากจะช่วยให้เห็นพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของลูกน้อยแล้วการฝากครรภ์ยังช่วยวินิจฉัยความผิดปกติของร่างกายคุณแม่ ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษได้เป็นอย่างดี


2. เลือกทานอาหารบำรุงครรภ์


สำหรับอาหารบำรุงครรภ์ของคุณแม่ตั้งครรภ์ จะเน้นไปที่สารอาหารจำพวกกรดไขมันโอเมก้า 3 และไอโอดีนจากปลาทะเล, โปรตีนจากเนื้อสัตว์, คาร์โบไฮเดรตจากแป้ง, วิตามินจากผักผลไม้, ธาตุเหล็กจากธัญพืช รวมถึงไขมันดีที่อุดมไปด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว สำหรับทำหน้าที่นำไขมันเลว LDL (Low Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวและไตรกลีเซอไรด์ออกจากหลอดเลือดแดงและเนื้อเยื่อ เพื่อส่งไปยังตับและขับออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไขมันเลวที่สร้างปัญหาน้ำหนักเกินมาตรฐานที่ส่งให้ต่อการมีลูกยากมากขึ้นด้วยค่ะ


และที่สำคัญควรงดอาหารรสเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง, อาหารแสลง ไม่ผ่านการปรุงสุก, เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้อย่าลืมดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้วต่อวันด้วยนะคะ เพราะน้ำสะอาดจะช่วยนำพาสารอาหารต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย และที่สำคัญน้ำเป็นส่วนประกอบของร่างกายมากถึง 2 ใน 3 หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ อาจทำให้ประสิทธิภาพของระบบต่าง ๆ ในร่างกายด้อยลง และมีผลเสียต่อลูกน้อยในครรภ์โดยตรง


3. พักผ่อนให้เพียงพอ


การนอนหลับพักผ่อนตามช่วงวัยจะช่วยฟื้นฟูประสิทธิภาพของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อร่างกายพักผ่อนอย่างเต็มที่ จะช่วยให้ร่างกายทำงานเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยป้องกันภาวะเครียดในคนท้อง อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายคุณแม่ไม่แข็งแรง เกิดภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งอาจกระทบไปถึงเจ้าตัวน้อยในครรภ์อีกด้วย ทางที่ดีคุณแม่ควรนอนพักผ่อนอย่างน้อย 6 ชั่วโมง/คืนจะดีที่สุดค่ะ


บทความที่น่าสนใจ

ดู 35 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


ครูก้อย.jpg

คุยกับครูก้อย/ทีมงาน

ครูก้อยเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท เบบี้แอนด์มัม (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นเจ้าของเพจ BabyAndMom.co.th (เพจให้ความรู้สำหรับผู้มีบุตรยาก) ครูก้อยยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตรงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านใดที่ต้องการคุยกัน สามารถทัก LINE@ เข้ามาได้เลยนะคะ โดยจะมีครูก้อยและทีมงานคอยให้การต้อนรับค่ะ

bottom of page