แม่ๆ ที่รอลุ้นเบบี๋คงอดไม่ได้ที่จะตรวจตั้งครรภ์เองใช่มั้ยคะ ยิ่งปัจจุบันสามารถตรวจได้ง่ายๆ ด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ (Pregnancy Test) แต่การตรวจการตั้งครรภ์ให้ชัวร์นั้นต้องตรวจในวันและช่วงเวลาที่เหมาะสม วันนี้ครูก้อยสืบค้นข้อมูลการตรวจการตั้งครรภ์แบบชัวร์ๆ มาฝากค่ะ ถ้าพร้อมแล้วเราไปศึกษาพร้อมกันเลยค่ะ
ชุดตรวจตั้งครรภ์ทำงานอย่างไร
หลักการทำงานของชุดตรวจตั้งครรภ์จะตรวจหาฮอร์โมนฮิวแมน คอริโอนิก โกนาโดโทรฟิน (Human Chorionic Gonadotropin) หรือ hCG โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะถูกสร้างจากรดของตัวอ่อนหลังจากปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิ และฝังตัวที่ผนังมดลูกประมาณ 6 วัน ทั้งนี้ปริมาณฮอร์โมนจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุก 2-3 วัน จึงทำให้สามารถตรวจการตั้งครรภ์ได้จากน้ำปัสสาวะ ในปัจจุบันมีให้เลือกตรวจทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่
1. อุปกรณ์ตรวจครรภ์แบบปล่อยผ่าน
ใช้งานด้วยการถอดฝาครอบออก จากนั้นถือแท่งให้หัวลูกศรชี้ลงพื้นแล้วปัสสาวะจนชุ่มผ่านจุดที่ต่ำกว่าลูกศรเป็นเวลา 30 วินาที และรออ่านผล 3-5 นาที
2. อุปกรณ์ตรวจครรภ์แบบหยด
ประกอบด้วยหลอดหยด, ตลับตรวจ และถ้วยตวงปัสสาวะ ใช้งานด้วยการปัสสาวะลงถ้วยตวง นำหลอดหยดดูดน้ำปัสสาวะและหยดลงตลับตรวจครรภ์ 3-4 หยด จากนั้นวางตลับทิ้งไว้ 5 นาที เพื่อรออ่านผล
3. อุปกรณ์ตรวจครรภ์แบบแถบจุ่ม
ประกอบด้วยแผ่นทดสอบ และถ้วยตวงปัสสาวะ ใช้งานด้วยการปัสสาวะลงถ้วยตวง แต่อย่าให้น้ำปัสสาวะสูงเกินกว่าขีดลูกศรของแผ่นทดสอบ จากนั้นนำแผ่นทดสอบจุ่มลงถ้วยตวงประมาณ 3-5 วินาที และนำออกมาวางทิ้งไว้ 5 นาที เพื่อรออ่านผล
การอ่านผลจากชุดตรวจตั้งครรภ์
โดยทั่วไปความแม่นยำของชุดทดสอบการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 98% แม่ๆ สามารถอ่านผลได้จากช่องบนแท่งตรวจ โดยผลลัพธ์มี 2 แบบ ได้แก่ ผลบวก (Positive) หมายถึง ไม่ตั้งครรภ์ และผลลบ (Negative) หมายถึง ตั้งครรภ์
1. หากผลตรวจขึ้น 1 ขีด
หมายถึงผลเป็นลบ แสดงว่าไม่มีการตั้งครรภ์ ทั้งนี้มีโอกาสเป็นผลลบลวง (False Negative) โดยมีโอกาสตั้งครรภ์ได้แม้ผลลัพธ์เป็นลบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากน้ำปัสสาวะเจือจางจากการดื่มน้ำมากเกินไป, ชุดทดสอบเสื่อมคุณภาพ หรือแม้แต่ตรวจดูผลเร็วเกินไป
2. หากผลตรวจขึ้น 2 ขีด
หมายถึงผลเป็นบวก แสดงว่าตั้งครรภ์ แต่บางครั้งอาจเป็นผลบวกลวง (False Positive) ทำให้ผลตรวจขึ้น 2 ขีด แต่ไม่ได้ตั้งครรภ์ เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ทำให้มีเลือดหรือไข่ขาวปนมาในน้ำปัสสาวะ หรือเกิดจากการทานยาบางชนิด
ควรตรวจการตั้งครรภ์วันไหนชัวร์ที่สุด
1. กรณีท้องด้วยวิธีธรรมชาติ
อย่างแรกคุณแม่จะต้องจดวันที่ประจำเดือนมาทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจใช้แอปพลิเคชั่นช่วยนับรอบเดือน เช่น Flo Period & Ovulation Tracker, Period Tracker Period Calendar, Clue Period & Cycle Tracker ฯลฯ ดังนั้นเมื่อทำการบ้านกันแล้วถึงวันที่ประจำเดือนควรมาแต่ยังไม่มา ก็อย่าเพิ่งรีบตรวจค่ะ ควรตรวจหลังจากเลยรอบเดือนไป 7 วันเพราะฮอร์โมน hCG จะชัดเจนขึ้น ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาชัวร์มากๆ เลยค่ะ แต่ถ้าอยากให้ชัวร์จริงๆ ให้ไปพบแพทย์และตรวจด้วยการเจาะเลือดเพื่อหาระดับ hCG ค่ะ ทั้งนี้หากตรวจแล้วขึ้น 2 ขีดจางๆ แนะนำให้ตรวจซ้ำอีกครั้งใน 7 วันหลังจากนั้น
2. กรณีทำเด็กหลอดแก้ว (ICSI)
เป็นการปฏิสนธิจากภายนอกร่างกายด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์จนได้ตัวอ่อนแล้วจึงย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก 3-5 วันหลังจากวันเก็บไข่ กรณีนี้ฮอร์โมน hCG จะเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการใส่ตัวอ่อน โดยมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
ปัจจุบันเคสทั่วไปถ้าใส่ตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ หรือระยะ Day 5 ใช้เวลาเร็วสุดภายใน 7 วันก็สามารถตรวจได้ แต่ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ชัวร์ที่สุดแนะนำให้ตรวจหลังใส่ตัวอ่อนแล้ว 10 วัน แต่สำหรับตัวอ่อน Day 3 คือตัวอ่อนที่มีอายุน้อยกว่า ควรตรวจตั้งครรภ์หลังจากใส่ตัวอ่อนแล้ว 12-14 วันค่ะ ทั้งนี้แม่ๆ ควรไปพบแพทย์ตามนัดและเจาะเลือดเพื่อวัดระดับ hCG เพื่อลดความเครียดซึ่งจะส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนด้วย
ควรตรวจการตั้งครรภ์ช่วงเวลาไหน
ควรตรวจจากปัสสาวะแรกในช่วงตอนเช้า เพราะฮอร์โมน hCG จะมีความเข้มข้นของสูงกว่าช่วงอื่นของวัน และที่สำคัญอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารบำรุงครรภ์, บำรุงน้ำนม, เตรียมพร้อมเพื่อคลอดและเตรียมน้ำนมให้พร้อมสำหรับเจ้าตัวน้อยด้วยนะคะ
Comments