ต้องตรวจฮอร์โมนอะไรก่อนไป ICSI❓
คำถามนี้แม่ๆ ถามครูก้อยบ่อยค่ะ วันนี้ครูก้อยจะมาแชร์ให้ฟังค่ะ
ในกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วนั้น การตรวจฮอร์โมนเป็นสิ่งสำคัญที่แพทย์จะนำผลมาพิจารณาการเลือกวิธีการรักษา การให้ยา หรือประเมินความสำเร็จในการรักษาได้ในเบื้องต้น
ฮอร์โมนในร่างกายเรานั้นมีหลายชนิด แต่ฮอร์โมนที่จำเป็นจะต้องตรวจเช็คก่อนกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ค่ะ
หลายคนเข้ารับการทำเด็กหลอดแก้ว โดยที่ไม่เคยตรวจฮอร์โมนเลย พอทำหลายๆครั้ง ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดจากอะไร ซึ่งจริงๆแล้ว...หลายฮอร์โมนเป็นตัวบอกได้เลยว่าเรามีปัญหาตรงไหน
📍เช่น บางคน ค่า FSH สูงเกิน 10 นั่นคือคุณรังไข่เสื่อม เข้าสู่วัยทองก่อนวัยอันควร ส่งผลให้ไข่ด้อยคุณภาพ ไข่น้อย ปลายกิ่งปลายก้าน และรังไข่เริ่มจะไม่ผลิตไข่แล้ว
📍หรือบางคนนั้นมี ค่า AMH ต่ำมาก คือน้อยกว่า 1
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณแทบจะไม่มีไข่สแปร์อยู่ในรังไข่เลยดังนั้นคุณจะคาดหวังให้กระตุ้นไข่ แล้วได้ไข่ 15 ใบ 20 ใบเหมือนคนอื่นเขาไม่ได้ ต้องยอมรับสภาพบองตัวเองตามพื้นฐานฮอร์โมนด้วย
📍หรือหลายเคส ได้ตัวอ่อนเกรด A คัดโครโมโซมผ่านผนังมดลูกดูดี แต่ใส่กี่ทีก็ไม่ติด! อันนี้ก็ต้องเช๊คฮอร์โมนไทรอยด์ด้วย (TSH) เพราะถ้าฮอร์โมนตัวนี้สูง จะขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนได้
📍หรือผู้หญิงบาง ไม่ได้ตั้งท้อง ไม่ได้คลอดลูก แต่มีฮอร์โมนน้ำนมสูง คือ ฮอร์โมนโปรแลคติน (PRL) นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คุณท้องธรรมชาติไม่ได้ เพราะไข่คุณไม่ตกหากโปรแลคตินสูงมันจะไปยับยั้งวงจรการตกไข่ค่ะ
สรุปคร่าวๆให้อย่างนี้เพื่อให้เห็นความสำคัญของการตรวจฮอร์โมนก่อนเข้ากระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว จะได้ไม่ตีโพยตีพาย ทำไมเราไม่ได้แบบคนอื่นเขา
.
#การตรวจฮอร์โมนทำอย่างไร❓
ปกติแล้ววิธีการตรวจฮอร์โมนจะมีอยู่ด้วยกันสองแบบ แบบแรกคือ คุณหมอจะสั่งให้ตรวจ โดยการเจาะเลือด และ ส่งเลือดไปตรวจที่แล็บ
หรือแบบที่สองอาจจะใช้เครื่องตรวจด้วยตัวเองก็ได้ เช่น การตรวจฮอร์โมน LH เพื่อเช็คไข่ตก หรือตรวจฮอร์โมน HCG เพื่อตรวจการตั้งครรภ์ โดยทั้งสองฮอร์โมนนี้สามารถตรวจได้จากปัสสาวะค่ะ
วันนี้เรามาศึกษา 8 ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคกันค่ะ คนเตรียมตั้งครรภ์ไม่ว่าจะท้องธรรมชาติ หรือ โดยเฉพาะคนที่วางแผนทำเด็กหลอดแก้วต้องทำความรู้จักฮอร์โมนเหล่านี้ไว้ เพราะเป็นฮอร์โมนที่คุณหมอใช้ประเมินความพร้อม ความสมบูรณ์ ความเสี่ยง ในการตั้งครรภ์ของเรานะคะ ไปศึกษาพร้อมกันเลยค่ะ
.
1. FSH: Follicle Stimulating Hormone
FSH เป็นฮอร์โมนที่หลั่งมากระตุ้นการทำงานของรังไข่ จะหลั่งมาเพื่อให้ไข่โตสมบูรณ์เต็มที่ หลังจากนั้น ฮอร์โมน LH (ฮอร์โมนไข่ตก) ก็จะถูกหลั่งออกมาเพื่อให้ไข่ตก ซึ่งฮอร์โมนสองตัวนี้ต้องตรวจในช่วงที่มีประจำเดือน
ระดับของ FSH ในร่างกายจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับรังไข่สำรองที่มีอยู่ (ovarial reserve รวมถึงคุณภาพและจำนวนของไข่ที่เหลืออยู่)
ซึ่งทำให้การตรวจวัดระดับ FSH สามารถนำมาใช้ทำนายได้ว่าแม่ๆ มีภาวะเจริญพันธุ์อยู่ในระดับใด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือฮอร์โมน FSH เป็นฮอร์โมนที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพใน "การทำงานของรังไข่"
เมื่อมีจำนวนไข่ลดน้อยลง และคุณภาพของไข่เสื่อมลง ร่างกายจะพยายามผลิต FSH ออกมามากขึ้นเพื่อเป็นชดเชยและจะได้กระตุ้นให้ Follicle หรือฟองไข่ มีการเจริญเติบโตมากขึ้น
การตรวจฮอร์โมน FSH จะเจาะเลือดตอนช่วงมี
ประจำเดือน 1-3 วันแรก โดยค่า FSH ปกติ ไม่ควรต่ำกว่า 3 และไม่ควรเกิน 10 ถ้าสูงเกินไปแสดงว่ารังไข่เริ่มเสื่อม ถ้า FSH สูงกว่า 40 และ ฮอร์โมน Estradiol (เอสโตรเจน) ต่ำกว่า 5 แสดงว่ารังไข่เสื่อมแล้วค่ะ
ด้วยเหตุนี้เอง หากพบว่ามีระดับ FSH สูงอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่ากำลังจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว หรือ ถ้าเกิดขึ้นในวัยที่ยังอยู่ในภาวะเจริญพันธุ์อาจหมายความว่าแม่ๆ อาจเข้าสู่ "วัยทองก่อนวัย"
หากมีระดับ FSH ต่ำเกินไป อาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ ทำให้วงจรรอบเดือนหยุดชะงักไปได้
(มักจะพบในผู้หญิงที่มีอาการของภาวะ Polycystic Ovarian Syndrome หรือ PCOS)
.
2. LH: Luteinizing Hormone
หรือเรียกว่า "ฮอร์โมนไข่ตก" เป็นฮอร์โมนที่ปล่อยไข่ให้ตก พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ เป็นฮอร์โมน
ธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้นจากต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) โดยฮอร์โมน LH จะทำหน้าที่กระตุ้นไข่ในเพศหญิงให้ตกลงมาตามรอบเดือน หากไม่มีฮอร์โมนดังกล่าวจะไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ ฮอร์โมน LH จะหลั่งออกมาในช่วงที่จะมีการตกไข่ ซึ่งจะมีผลทำให้รังไข่ปล่อยไข่ออกมาเพื่อรอการปฏิสนธิ
ซึ่งแม่ๆสามารถเช็คฮอร์โมนตัวนี้ได้ด้วยการใช้ชุดตรวจไข่ตกจุ่มในปัสสาวะ เพื่อจะได้ทราบว่าในแต่ละเดือนเรามีไข่ตกหรือไม่ (ปกติไข่จะตกใน Day 14 ของรอบเดือน แม่ๆสามารถเช็คล่วงหน้าก่อน 2-3 วันได้ค่ะ เพราะไข่ไม่ได้ตกตรงเป๊ะใน Day 14 เสมอไป) จะได้วางแผนในการปั๊มเบบี๋ได้ตรงวันเป็นการเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ค่ะ
สำหรับการตรวจเลือดเช็คระดับฮอร์โมน LH ต้องตรวจในช่วงที่มีประจำเดือน 1-3 วันแรกโดย
ควรมีค่าอยู่ที่ 3-10 ซึ่ง LH กับ FSH จะดูคู่กันคือ LH ควรต่ำกว่า FSH 1-2 ค่า ถือว่าปกติ
แต่ในผู้ที่อยู่ในภาวะ PCOS จะมีค่า LH สูงผิดปกติเพราะ PCOS เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดไข่ไม่ตกเรื้อรังอยู่แล้ว ดังนั้นร่างกายจึงต้องผลิตฮอร์โมน LH ให้สูงขึ้นอีกเพื่อต้องการให้ไข่ตก
สำหรับแม่ๆที่ทำ ICSI การตรวจเจอฮอร์โมน LH ที่สูงเกินไปบ่งชี้ถึงภาวะ PCOS ซึ่งจะมีไข่ใบเล็กๆกระจุกตัวกันจำนวนมาก ซึ่งเป็นไข่ที่ด้อยคุณภาพ เมื่อฉีดยากระตุ้นไข่ ไข่อาจจะโตหลายใบแต่เป็นไข่ที่ไม่ค่อยสมบูรณ์
.
3. AMH: Anti-Mullerian Hormone
"ฮอร์โมนบอกจำนวนไข่ตั้งต้น" เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากฟองไข่ในรังไข่ ปริมาณของฮอร์โมนจึงสัมพันธ์กับปริมาณไข่ที่เหลืออยู่ในรังไข่ของผู้หญิง และเป็นตัวบ่งบอกว่าแม่ๆ มีจำนวนฟองไข่ตั้งต้นมากหรือน้อย
การตรวจฮอร์โมนชนิดนี้จะทำให้ทราบว่าร่างกาย
เหลือปริมาณไข่อยู่มากน้อยเพียงใด และมีการตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ดีหรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์คิดค้นหาวิธีที่จะช่วยให้คู่สามีภรรยา สามารถวางแผนการตั้งครรภ์ได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นการตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมน AMH จัดเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับใช้เป็นแนวทางในการวางแผนสำหรับการมีบุตร โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก
การเช็คระดับฮอร์โมน AMH สามารถเจาะเลือดเช็คตอนไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องตรวจในช่วงมีประจำเดือน ค่า AMH จะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
ค่า AMH ปกติควรอยู่ที่ 1.5 ขึ้นไป ซึ่งจะพอเห็นแนวโน้มว่ายังมีจำนวนฟองไข่ที่สามารถตั้งครรภ์ได้
แต่ถ้าน้อยมากแค่ 0.1-0.2 โอกาสที่จะกระตุ้นไข่ได้ไข่ที่มีคุณภาพจะน้อยมากๆ ค่ะ ซึ่งใรกรณีนี้หากกระตุ้นไข่ไม่ได้เลย อาจต้องใช้ไข่บริจาคเพื่อทำ ICSI ต่อไปค่ะ
.
4. E2: Estradiol
"ฮอร์โมนเพศหญิง" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ฮอร์โมนเอสโตรเจน" ผลิตจากรังไข่ และทำให้ลักษณะร่างกายของผู้หญิงมีการเติบโต มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นเช่น สะโพกผาย มีหน้าอก และมีไขมันสะสมบริเวณสะโพก ผิวตึง มีเสียงแหลม และกระตุ้นการเจริญเติบโตของรังไข่ ถุงไข่ และไข่อ่อน เกี่ยวเนื่องกับการมีประจำเดือน การผลิตไข่และการตกไข่ ช่วยให้เซลล์มีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น กระตุ้นเซลล์บริเวณปากมดลูกและช่องคลอดให้หลั่งน้ำเมือกหรือมูกตกไข่ที่ใส ไม่เหนียว และมีปริมาณมาก เพื่อช่วยในการเคลื่อนที่ของอสุจิไปยังมดลูกและปีกมดลูก
ฮอร์โมนนี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไข่โตขึ้นเรื่อยๆ ต้องตรวจในช่วงที่มีประจำเดือน ซึ่งค่าปกติไม่ควรต่ำกว่า 20 ถ้าต่ำกว่านี้แสดงให้เห็นว่ารังไข่เริ่มทำงานไม่ดี ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อย
ถ้าหากเอสโตรเจนลดลง โดยเฉพาะผู้หญิงที่หมดประจำเดือนในช่วงวัย 45-50 ปี มีความเสี่ยงที่
กระดูกจะบางมากขึ้น เพราะมวลกระดูกลดลง กล้ามเนื้อไม่ค่อยแข็งแรง และมีภาวะของการหมดประจำเดือน เช่น ร้อนวูบวาบตามตัว ช่องคลอดแห้ง เป็นต้น
.
5. TSH: Thyroid Stimulating Hormone
"ฮอร์โมนไทรอยด์ ผู้หญิงบางคนอาจจะไม่รู้ว่าฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นฮอร์โมนสำคัญที่สุด ที่จะทำให้คุณตั้งท้องได้เพราะ ต่อม Thyroid อวัยวะสืบพันธ์ของเพศหญิง และ ต่อม Adrenal นั้นเชื่อมต่อกันอยู่ ถ้ามีสิ่งผิดปกติไม่ว่าจะกับส่วนไหนก็ตาม การตั้งครรภ์อาจจะยากมาก
การตรวจระดับของฮอร์โทนไทรอยด์ แพทย์จะใช้ค่านี้เพื่อคัดกรองการมีบุตรยากเบื้องต้นเพราะถ้ามีค่าสูงผิดปกติจะมีผลต่อการตกไข่ค่ะ
ฮอร์โมนนี้สารมารถตรวจในช่วงไหนของรอบเดือน
ก็ได้ โดยค่าฮอร์โมนไทรอยด์ควรอยู่ที่ 0.4-4.0 ถ้าพบค่าต่ำหรือสูงผิดปกติหมออาจจะพิจารณาให้ตรวจเพิ่มเติมค่ะ
.
6. PRL: Prolactin
"ฮอร์โมนน้ำนม" "โปรแลคติน" เป็น ฮอร์โมนที่จะจัดการการผลิตนม เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับตอนคลอด แต่มันยังมีหน้าที่ในการทำให้ประจำเดือนมาอย่างปกติอีกด้วย หากมีฮอร์โมนโปรแลคตินสูงจะยับยั้งวงจรการตกไข่และทำให้ประจำเดือนไม่มา
หากผู้หญิงคนใดตรวจพบฮอร์โมนตัวนี้ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ตั้งครรภ์ เช่น พบว่ามีน้ำนมออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ตั้งท้องแสดงว่า แสดงว่ามีฮอร์โมนโปรแลคตินสูงเกินไปในเวลาที่ไม่เหมาะสมจะทำให้วงจรการตกไข่ถูกขัดขวาง ส่งผลต่อการมีบุตรยาก
การตรวจฮอร์โมนตัวนี้จะตรวจช่วงไหนก็ได้ ไม่ขึ้น
อยู่กับรอบเดือน โดยค่าโปรแลคติน ไม่ควรสูงกว่า 25 แต่ถ้าสูงแต่ไม่เกิน 50 แล้วไม่ได้มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ประจำเดือนผิดปกติ แบบนี้ก็ยังถือว่าโอเคอยู่ค่ะ ยังไม่ต้องรักษา ต้องดูเป็นกรณีไป
แต่ถ้าสูงเกิน 100 อาจต้องส่งตรวจเพิ่มเติมต่อไปเพราะอาจเป็นเรื่องความผิดปกติของระบบสมองหรือระบบประสาท
.
7. Progesterone
"ฮอร์โมนเตรียมพร้อมการตั้งครรภ์" "โปรเจสเตอโรน" เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะสูงขึ้นในช่วงที่จะตั้งครรภ์หรือมีรอบเดือน
โปรเจสเตอโรนสามารถหลั่งได้จากรังไข่และต่อมหมวกไต ฮอร์โมนตัวนี้จะกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว ในช่วงที่มีรอบเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกจะหนาขึ้นเตรียมพร้อมกับการฝังตัวของตัวอ่อนในการตั้งครรภ์ ถ้าไม่มีการฝังตัวของตัวอ่อนระดับโปร
เจสเตอโรนจะลดลง เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน
ถ้ามีการตั้งครรภ์โปรเจสเตอโรนจะยังคงระดับสูง รักษาไม่ให้มดลูกบีบตัวและยังสูงตลอดการตั้งครรภ์ หลายครั้งที่ผู้หญิงต้องเผชิญอาการ เช่น แท้งคุกคามนั้นเกิดจากตอนที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ดิ่งลงต่ำนั่นเองค่ะ
.
8. HCG: Human Chrorionic Gonardotropin
"ฮอร์โมนตั้งครรภ์" คือ ฮอร์โมนที่ตรวจพบได้เมื่อตั้งครรภ์ ซึ่งผลิตจากเนื้อเยื่อรกและการฝังตัวในมดลูกของตัวอ่อน ซึ่งควรตรวจหลังจากมีการปฏิสนธิ หรือ ย้ายตัวอ่อน 10-12 วัน
แม่ๆ สามารถตรวจฮอร์โมน HCG ได้เองที่บ้านจากปัสสาวะ แต่เพื่อความแน่นอนที่สุดควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจจากเลือดจะแน่นอนกว่าค่ะ โดยหากมีค่า HCG ถึง 100 เป็นสัญญาณว่าแม่ๆตั้งครรภ์ค่ะ
ระดับฮอร์โมนนี้จะเพิ่มเป็น 2 เท่า ทุก 2-3 วัน เพื่อเป็นการยืนยันภาวะตั้งครรภ์ ถ้าระดับฮอร์โมนตัวนี้ต่ำลงเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดภาวะแท้งได้ค่ะ
.
.
รู้จักฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์กันอย่างละเอียดแล้ว เห็นมั้ยคะว่าฮอร์โมนที่สมดุลก็จะส่งผลต่อความปกติของการทำงานของรังไข่ การผลิตไข่ การเจริญเติบโตของไข่ การมีประจำเดือนและการตกไข่ การรักษาฮอร์โมนให้สมดุลทำได้ด้วยการทานอาหารถูกหลักโภชนาการ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียดนะคะ
Yorumlar