การแท้งถือเป็นภาวะผิดปกติอย่างหนึ่งของการตั้งครรภ์ ซึ่งพบได้ประมาณ 10-15% ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด โดยการแท้งนั้นอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ได้ 2-3 สัปดาห์ไปจนถึง 28 สัปดาห์ แต่การแท้งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่คุณแม่มีอายุครรภ์ประมาณ 4-20 สัปดาห์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 13 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์)
การแท้งนั้น ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้กับคุณแม่ทุกคนแต่เป็นเรื่องที่ยากจะทำใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่....สาเหตุของการแท้งมีดังนี้ค่ะ
.
1. โครโมโซมทารกผิดปกติ
เป็นสาเหตุของการแท้งในช่วง 3 เดือนแรกที่พบได้บ่อยที่สุด โดยโครโมโซมนี้เป็นการจัดเรียงตัวกันของดีเอ็นเอ ซึ่งจะควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ตั้งแต่พัฒนาการของเซลล์ในร่างกาย หรือแม้แต่สีตาของทารก
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจเป็นการมีจำนวนโครโมโซมมากเกินปกติหรือมีจำนวนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ทารกไม่สามารถพัฒนาได้อย่างปกติและมีการแท้งเกิดขึ้นได้ในที่สุด ซึ่งการแท้งจากโครโมโซมที่ผิดปกติในช่วงแรกของการตั้งครรภ์นี้มีอัตราถึง 2 ใน 3
การตรวจปัสสาวะพบว่ายังให้ผลบวก แสดงว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้วแต่ไม่มีตัวทารก เพราะมีแต่รกเท่านั้นที่เจริญเติบโตได้ต่อไปสักระยะหนึ่งแล้วคุณแม่จึงมีเลือดออก หรือทารกอาจมีความพิการบางอย่างก็เลยถูกขับออกมาเองตามกลไกธรรมชาติ ก่อนที่จะปล่อยให้มีเด็กพิการเกิดขึ้น
ทารกที่มีโครโมโซมปกติเป็นผลมาจากเซลล์ไข่ของแม่มีโครโมโซมผิดปกติ ซึ่งแม่ที่มีอายุมากจะพบอัตราความผิดปกของโครโมโซมในเซลล์ไข่เพิ่มมากขึ้น โดยผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปี โครโมโซมเซลล์ไข่ผิดปกติไปแล้วถึง 50% ซึ่งไข่ที่มีโครโมโซมผิดปกติ ส่งผลต่ออัตราการปฏิสนธิต่ำ ตัวอ่อนไม่พัฒนา และแท้งในระยะเริ่มต้น
.
2. ปัญหาจากรก
รกมีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างมารดากับทารกเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ ดังนั้นปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนาของรกจึงสามารถนำไปสู่การแท้งบุตรได้เช่นกัน
.
3. อายุของคุณแม่
คุณแม่มีอายุมากกว่า 35 ปี หรือมีอายุน้อยกว่า 15 ปี จากข้อมูลพบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุมากจะมีความเสี่ยงที่จะแท้งบุตรได้มากกว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อย
โดยเฉพาะแม่ที่มีอายุมากเซลล์ไข่จะมีความผิดปกติทางโครโมโซมสูง
โดยสถิติความผิดปกติของโครโซมของเซลล์ไข่ในแต่ละช่วงอายุปรากฏตามข้อมูล ดังนี้
•อายุ 25 โครโมโซมผิดปกติ 25%
•อายุ 35 โครโมโซมผิดปกติ 50%
•อายุ 40 โครโมโซมผิดปกติ 85-90%
ซึ่งไข่ที่มีโครโมโซมผิดปกติอาจส่งผลให้
•อัตราการปฏิสนธิต่ำ (low fertilization rate)
•ตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ ตัวอ่อนไม่ฝังตัว (embryo fails to implant in the uterus)
•แท้งในระยะเริ่มแรก (early miscarriage)
•ทารกเป็นดาวน์ซินโดรม (Down syndrome)
.
4. มดลูกมีปัญหา
มดลูกมีความผิดปกติ เช่น มีความผิดปกติของมดลูกแต่กำเนิดหรือมดลูกมีรูปร่างผิดปกติ ในโพรงมดลูกมีก้อนเนื้องอกหรือมีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก
บางกรณีสาเหตุการแท้งมาจากรูปร่างของมดลูก ทำให้ตัวอ่อนไม่ฝังตัวในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อให้เลือดและสารอาหารส่งไปเลี้ยงให้ทารกในครรภ์เติบโตแข็งแรง ดังนั้นการเตรียมมดลูกให้พร้อมก่อนตั้งครรภ์จึงสำคัญอย่างมาก ต้องมีการตรวจสภาพมดลูก กำจัดติ่งเนื้อ หรือ ผ่าตัดเนื้องอกให้เรียบร้อย ทานอาหารที่มีฤทธิ์อุ่นเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงมดลูกได้ดี ทานอาหารเน้นโปรตีนให้เพื่อสร้างผนังมดลูกให้แข็งแรง พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อน
•ศึกษาขั้นตอนเตรียมผนังมดลูก (ก่อนใส่ตัวอ่อน) คลิกอ่านเลยค่ะ →
.
5. ฮอร์โมนไม่สมดุล
ผู้หญิงบางคนมีปัญหาระบบการทำงานของรังไข่และฮอร์โมนผิดปกติ มักเกิดจากรังไข่ผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนไม่เพียงพอเพื่อที่จะสนับสนุนให้ตัว
อ่อนในระยะแรกเติบโตต่อได้ หากฮอร์โมนการตั้งครรภ์อาจเสี่ยงแท้งลูกได้ง่าย ร่างกายต้องมีสมดุลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ซึ่งจำเป็นมากในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก ถ้ามีมากไปหรือน้อยไปจะส่งผลทำให้แท้งลูกได้
ซึ่งตามธรรมชาติระยะหลังไข่ตก เรียกว่า "ระยะลูเตียลเฟส" ระยะเวลาหลังการตกไข่ที่ร่างกายจะสร้างระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น โดยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะส่งผลให้มดลูกหนาขึ้น พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อน
หากมีความบกพร่องของระยะนี้หมายความว่า ร่างกายแม่ๆ #มีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนน้อยเกินไป #ทำให้เยื่อบุมดลูกไม่หนาตัว ทำให้ช่วงระยะ Luteal Phase สั้น #ส่งผลให้โอกาสในการฝังตัวของตัวอ่อนมีน้อยลง หรือ ผนังมดลูกไม่หนาพอที่จะโอบอุ้มตัวอ่อน ส่งผลให้แท้งได้ค่ะ
.
6. โรคประจำตัวของคุณแม่
คุณแม่ที่มีสุขภาพไม่ดี เจ็บป่วยเรื้อรังหรือมีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหนัก และมีความเครียดสูง ก็จะทำให้แท้งบุตรได้ง่ายขึ้น
มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคเอสแอลอี (SLE) โรคพีซีโอเอส (PCOS) โรคภูมิแพ้ตัวเอง (Lupus) หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ (เช่น หัด หัดเยอรมัน มาลาเรีย โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์)
.
7. การใช้ยาบางชนิด หรือ การได้รับสารเคมี
เช่น ยารักษาไข้มาลาเรียในกลุ่มควินิน อาจทำให้แท้งได้เพราะมีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัว
ยารักษาโรคมะเร็งหรือการได้รับสารตะกั่ว มีผลทำให้ทารกเสียชีวิตและแท้งได้ การได้รับสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมเป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะสูดดมหรือสัมผัส ย่อมเป็นสาเหตุให้เกิดการแท้งได้เช่นกัน
รวมไปถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือติดยาเสพติดด้วยค่ะ
.
●การแท้งมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. แท้งคุกคาม
- เป็นการแท้งที่เกิดจากการลดลงของฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน
- ทำให้มีเลือดไหลกะปริดกะปรอยออกมาทางช่องคลอด
- แต่ยังอัลตร้าซาวด์ตรวจพบตัวอ่อนและยังมีการเต้นของหัวใจ
- แพทย์จะพิจารณารักษา เช่น กิน ฉีด หรือ สอดยา
กันแท้ง
.
2. แท้งจริง
เป็นการแท้งที่ตัวอ่อนไม่พัฒนา หัวใจหยุดเต้น เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม ร่างกายก็จะจัดการเองตามธรรมชาติโดยขับออกมา หากขับออกมาสมบูรณ์ เรียกว่า "แท้งครบ" ไม่ต้องขูดมดลูก หากไม่หลุดออกมา เรียกว่า "แท้งค้าง" อาจต้องขูดมดลูกค่ะ
.
.
ครูก้อยขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ที่เคยสูญเสียลูกน้อยไป อย่าเพิ่งท้อนะคะ กลับมาดูแลตัวเองให้ดี บำรุงร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ เริ่มตั้งแต่บำรุงวัตถุดิบตั้งต้นคือเซลล์ไข่ของเราให้มีคุณภาพ บำรุงมดลูกให้พร้อม เริ่มใหม่ได้เสมอค่ะ
Comments